ประเทศมาเลเซีย
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556
ประเทศมาเลเซีย
มาเลเซีย (Malaysia) เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยพื้นที่ 2 ส่วนโดยมีทะเลจีนใต้กั้น ส่วนแรกคือ มาเลเซียตะวันตก อยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรมลายูและคาบสมุทรอินโดจีน มีพรมแดนติดประเทศไทยทางรัฐกลันตัน เประ ปะลิส และเกดะห์ และติดกับสิงคโปร์ทางรัฐยะโฮร์ ส่วนที่ 2 คือ มาเลเซียตะวันออก อยู่ทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว มีพรมแดนทิศใต้ติดอินโดนีเซียทุกส่วนของมาเลเซียตะวันตก แต่ล้อมรอบประเทศบรูไนดารุสซาลามด้วยรัฐซาราวักเพียงรัฐเดียว มาเลเซียเป็นสมาชิกก่อตั้งของกลุ่มประเทศอาเซียน
ประมุขของประเทศ
สมเด็จพระราชาธิบดี สุลตาน มุซตาซีมุ บิลลาฮ์ อับดุล ฮาลิม มุอัซซัม ชาฮ์ อิบนี อัลมาร์ฮุม สุลตาน บาดิร ชาฮ์ ทรงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียลำดับที่ 5 และ 14 และสุลต่านแห่งรัฐเกดะห์
ลักษณะภูมิประเทศ
มาเลเซียตะวันตก มีภูเขาทอดยาวทางตอนกลางเกือบตลอด เป็นอุปสรรคต่อการคมนาคม ทำให้มีที่ราบ 2 ด้าน ที่ราบด้านตะวันตกกว้างกว่า เป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ เขตปลูกยางพารา และขุดแร่ดีบุก
มาเลเซียตะวันออก ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ที่ราบสูงอยู่ทางตอนใน มีที่ราบย่อม ๆ อยู่ตามชายฝั่งทะเล
มาเลเซียตะวันออก ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ที่ราบสูงอยู่ทางตอนใน มีที่ราบย่อม ๆ อยู่ตามชายฝั่งทะเล
ชื่อของประเทศมาเลเซียถูกตั้งขึ้นเมือ พ.ศ. 2506 โดยมีความหมายรวมเอาสหพันธรัฐมาลายา สิงค์โปร์ ซาบาห์ ซาราวัก และบรูไนเข้าด้วยกัน คำว่า มาเลเซียนี้เดิมเคยถูกใช้เป็นชื่อเรียกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในส่วนที่เป็นหมู่เกาะมาก่อน ซึ่งปรากฏหลังฐานจากแผนที่ที่ตีพิมพ์ในชิคาโกเมื่อปีพ.ศ. 2457 ในการตั้งชื่อประเทศมาเลเซียนั้นมีการนำเสนอชื่ออื่นๆ มากมายก่อนที่จะได้ผลสรุปให้ใช้ชื่อมาเลเซีย
พื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร ( ประมาณ 64% ของไทย)
ประชากร 28.9 ล้านคน (2553)
ภาษามาเลย์ เป็นภาษาราชการ
ศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 60) พุทธ (ร้อยละ 19) คริสต์ (ร้อยละ 12)
ผู้นำมาเลเซีย
นาจิบ อับดุล ราซัก
ประธานาธิบดีมาเลเซีย
ผลิตภัณฑ์ส่งออกที่สำคัญ
อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลวปิโตรเลียม เฟอร์นิเจอร์ ยาง น้ำมันปาล์ม
ผลิตภัณฑ์นำเข้าที่สำคัญ
ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม สินค้าแปรรูป สินค้าอาหาร
ตลาดส่งออกที่สำคัญ
สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน ไทย ฮ่องกง
ตลาดนำเข้าที่สำคัญ
ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย
ด้านการทูต
นอกจากสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงกัวลาลัมเปอร์แล้ว ไทยยังมีสถานกงสุลใหญ่ ในมาเลเซียอีก 2 แห่ง คือ ปีนัง และโกตาบารูและมีสถานกงสุลกิตติมศักดิ์เกาะลังกาวี อีก 1 แห่ง สำหรับหน่วยงานของส่วนราชการต่างๆ ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ภายใต้สถานเอกอัครราชทูตไทย ได้แก่ สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สำนักงานแรงงาน ส่วนหน่วยงานของไทยอื่นๆ ที่ตั้งสำนักงานในมาเลเซียคือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบริษัทการบินไทย สำหรับหน่วยงานของมาเลเซียในประเทศไทย ได้แก่ สถานเอกอัครราชทูตมาเลเซีย และสถานกงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา
ด้านการเมืองและความมั่นคง
ไทยและมาเลเซียมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและแน่นแฟ้น มีการแลกเปลี่ยนการเยือนทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการในระดับต่างๆตั้งแต่ระดับพระราชวงศ์ชั้นสูง ระดับรัฐบาล และเจ้าหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ แต่ยังคงมีประเด็นปัญหาที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข เช่น ปัญหาการปักปันเขตแดนทางบก ปัญหาบุคคลสองสัญชาติ และการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เป็นต้น
ด้านเศรษฐกิจ/การค้า
การค้าระหว่างไทยกับมาเลเซียในปี 2550 มีมูลค่า 16,408 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยขาดดุลการค้า 826.50 ล้านดอลลาร์สหรัฐสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ เครื่องสำอาง เครื่องคอมพิวเตอร์ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ยางพารา สินค้านำเข้าที่สำคัญจากมาเลเซีย ได้แก่ น้ำมันดิบและแร่เชื้อเพลิงเคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเคมีภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้า และส่วนประกอบ ในปี 2550 นักลงทุนมาเลเซียได้ รับอนุมัติโครงการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 53 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ด้านการท่องเที่ยว
ในปี 2550 นักท่องเที่ยวมาเลเซียเดินทางมาประเทศไทย 1.2 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปมาเลเซียประมาณ 600,000 คน
ด้านสังคม วัฒนธรรมและการศึกษา
ไทยกับมาเลเซียมีความใกล้ชิดกันในระดับท้องถิ่น ประชาชนทั้งสองฝ่ายไปมาหาสู่กันในฐานะมิตรและเครือญาติ มีโครงการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม และความร่วมมือด้านการบริหารจัดการสัญจรข้ามแดน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในพื้นที่และส่งเสริมการติดต่อด้านการค้าและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังอนุญาตให้ประชาชนที่ถือสัญชาติของอีกฝ่ายหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
ชายแดนใช้บัตรผ่านแดนซึ่งออกให้โดยหน่วยงานปกครองท้องถิ่นของแต่ละประเทศแทนการใช้หนังสือเดินทางเพื่อผ่านด่านพรมแดนรวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำศาสนาอิสลาม
การแบ่งเขตการปกครอง
ในปัจจุบันประกอบด้วยรัฐ 13 รัฐ ประกอบไปด้วย เปรัค ปาหัง สลังงอร์ ไทรบุรี เคดาห์ เนกรีเซมบิลัน ยะโฮร์ กลันตัน ตรังกานู ปีนัง มะละกา ซาบาห์ และซาราวัค และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีการปกครองในรูปแบบคล้ายอังกฤษกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประมุขแห่งรัฐมีตำแหน่งเป็นพระราชาธิบดี
มาเลเซียตะวันตก (คาบสมุทรมลายู)
กลันตัน (โกตาบารู) เกดะห์ (ไทรบุรี) (อลอร์สตาร์)
ตรังกานู (กัวลาตรังกานู) เนกรีเซมบีลัน (สเรมบัน)
ปะหัง (กวนตัน) ปะลิส (กางาร์)
ปีนัง (จอร์จทาวน์) เประ (อีโปห์)
มะละกา (มะละกา) ยะโฮร์ (ยะโฮร์บาห์รู)
สลังงอร์ (ชาห์อาลัม)
มาเลเซียตะวันออก (เกาะบอร์เนียวตอนเหนือ)
ซาบาห์ (โกตากินะบะลู) ซาราวัก (กูจิง)
ดินแดนสหพันธ์
มาเลเซียตะวันตก
กัวลาลัมเปอร์ (กัวลาลัมเปอร์) ปุตราจายา (ปุตราจายา)
มาเลเซียตะวันออก
ลาบวน (วิกตอเรีย) และก็มีเมีองหลวงคือกรุงกัวลาลัมเปอร์
เศรษฐกิจของประเทศ
ü เกษตรกรรม ผลิตยางพาราที่สำคัญของโลก และข้าวเจ้าปลูกมากบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำทั้ง 2 ด้าน
ü การทำเหมืองแร่ แร่ที่สำคัญ ได้แก่ แร่ดีบุกส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกแร่เหล็ก น้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ
ü การทำป่าไม้ ส่วนใหญ่เป็นไม้เนื้อแข็ง ส่งไม้ออกเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย
ü อุตสาหกรรม ได้ชื่อว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของเอเชีย (NICs)
ประชากรภายในประเทศ
ประเทศมาเลเซียมีปัญหาประชากรหลากหลายเชื้อชาติ ในอดีตเคยเกิดสงครามกลางเมืองเนื่องจาก การกีดกันทางเชื้อชาติ ประเทศมาเลเซียประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูร้อยละ 50.4 เป็นชาวภูมิบุตร (Bumiputra) คือบุตรแห่งแผ่นดิน รวมไปถึงชนดั้งเดิมของประเทศอีกส่วนหนึ่ง ได้แก่กลุ่มชนเผ่าในรัฐซาราวัก และรัฐซาบาห์มีอยู่ร้อยละ 11 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซียนั้น ชาวมลายูนั้นคือมุสลิม และอยู่ในกรอบวัฒนธรรมมลายู แต่ชาวภูมิบุตรที่ไม่ใช่ชาวมลายูนั้น มีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรในรัฐซาราวัก (ได้แก่ชาวอิบัน ร้อยละ 30) และร้อยละ 60 ของประชากรรัฐซาบาห์ (ได้แก่ชาวกาดาซัน-ดูซุน ร้อยละ 18 และชาวบาเจา ร้อยละ 17) นอกจากนี้ยังมีชนพื้นเมืองดั้งเดิมของคาบสมุทรมลายูอีกกลุ่มหนึ่ง คือ โอรัง อัสลี ประชากรกลุ่มใหญ่ที่ไม่ใช่ชาวภูมิบุตรหรือชนดั้งเดิมเป็นพวกที่เข้ามาใหม่ โดยเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน มีอยู่ร้อยละ 23.7 ซึ่งมีประจายอยู่ทั่วประเทศ มีชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย อีกร้อยละ 7.1 ของประชากร ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวทมิฬ แต่ยังมีชาวอินเดียกลุ่มอื่น อย่างเกรละ, ปัญจาบ, คุชรัต และปาร์ซี นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย โดยอาศัยอยู่ในรัฐทางตอนเหนือของประเทศ มีคนเชื้อสายชวา และมินังกะเบาในรัฐทางตอนใต้ของคาบสมุทรอย่าง รัฐยะโฮร์ ชุมชนลูกครึ่งคริสตัง (โปรตุเกส-มลายู) ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และชุมชนลูกครึ่งอื่นๆอย่าง ฮอลันดา และอังกฤษส่วนมากอาศัยในรัฐมะละกา ส่วนลูกครึ่งเปอรานากัน หรือชาวจีนช่องแคบ (จีน-มลายู) ส่วนมากอาศัยอยู่ในรัฐมะละกา และมีชุมชนอยู่ในรัฐปีนัง
ประวัติศาสตร์ และความเป็นมาในการก่อตั้งประเทศ
จากข้อมูลประวัติศาสตร์ มาเลเซียได้รับอิทธิพลจากทั้งอินเดียและจีน ศูนย์กลางแห่ง อารยธรรมเก่าแก่ทั้งสองตั้งอยู่ทางตะวันตกและตะวันออก อิทธิพลนี้รุนแรงมากในบางยุคโดยเฉพาะ อิทธิพลจากอินเดีย มาเลเซียได้รับอิทธิพลจากอินเดียมากในส่วนที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมสมัยต้นและศาสนา ของตน อิทธิพลจีนจะน้อยกว่า ดังที่เราจะเห็นว่าอิทธิพลของจักรวรรดิจีนส่วนใหญ่มักจะไม่มีในทางตรง นอกจากนี้ ที่ตั้งภูมิศาสตร์ก็เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อมาเลเซียในประวัติศาสตร์สมัยต้น ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ที่มาเลเซียตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีนเท่านั้น ปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์อื่น ๆ ยังช่วยเพิ่มพูนความสำคัญ ของที่ตั้งของมาเลเซียอีกด้วย ต่างจาก ประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศที่อยู่ครึ่งทางระหว่างอินเดียและจีน แต่น้อยประเทศที่มีข้อได้เปรียบเป็นพิเศษแบบมาเลเซีย
มาเลเซียตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรที่ยื่นออกไปทางใต้จากผืนทวีปเอเชียและ ล้อมรอบ ด้วยทะเลเกือบหมด ถ้าต้องการแล่นเรือออกจากเมืองจีนไปยังอินเดียก็จะต้องแล่นเลียบฝั่งมาเลเซีย ทั้งทางตะวันออกและตะวันตก แต่ถ้าหากว่าไม่ต้องการแล่นเรือไปตลอดทางคาบสมุทรมลายูซึ่ง แคบใน ตอนเหนือก็เป็นสถานที่ที่อำนวยความสะดวกที่สุดสำหรับการถ่ายเทสินค้าจากทะเลจีนไปยัง มหาสมุทรอินเดีย คาบสมุทรมลายูและชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกเฉียงเหนือของบอร์เนียวก็มีบทบาท สำคัญในแผนการเดินทาง ทั้งนี้เพราะลมมรสุมเป็นปัจจัยสำคัญทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ เนื่องจากมาเลเซียเป็นสถานที่ที่ลมมรสุมพัดมาบรรจบกัน แต่ในสมัยที่มีการเดินเรือ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ลมมรสุม เป็นลมที่พัดจากสองทิศทางตามเวลาต่างกันในรอบปี ลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้พัดข้ามมหาสมุทรอินเดีย จากเส้นศูนย์สูตรระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม ส่วนลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดจากฝั่งทะเลจีนและข้ามทะเลจีนระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือน เมษายน กล่าวได้ว่าลมมรสุมทั้งสองนี้จะมาบรรจบกันที่คาบสมุทรมลายูหรือโดยทั่ว ๆ ไปก็ในบริเวณหมู่ เกาะมาเลเซีย เรือที่แล่นมาจากเมืองจีนก็จะแล่นลงมาทางใต้ตามลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนเรือ ที่มาจากอินเดียก็จะมาทางตะวันออกตามลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อลมมรสุมเปลี่ยน เรือก็สามารถ เดินทางกลับได้ ฉะนั้นคาบสมุทรมลายูและฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงเหนือ ของบอร์เนียวจึงอยู่ในที่ตั้งที่ ได้เปรียบในการอำนวยที่จอดพักสำหรับผู้ที่จะเดินทางโดยตลอดจากอินเดีย ไปยังจีน หรือสำหรับผู้ที่จะ รอคอยลมมรสุมเปลี่ยนหรือสำหรับผู้ที่จะเดินทางเพียงครึ่งทางเท่านั้นแต่จะได้พบปะกับพวกพ่อค้า ด้วยกันณ “ที่พักครึ่งทาง” แห่งนี้ อาทิ พ่อค้าชาวจีนสามารถลงมาทางใต้ระหว่าง เดือนพฤศจิกายนถึงเดือน เมษายน ทำธุรกิจของตนให้เสร็จเรียบร้อยแล้วเดินทางกลับได้ในระหว่าง เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม
ด้วยเหตุนี้ มาเลเซียจึงก้าวเข้ามามีความสำ คัญในประวัติศาสตร์โลก เพราะมี ข้อได้เปรียบจากสภาพทางภูมิศาสตร์เอื้ออำนวย อันที่จริงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมาเลเซียนับว่าเป็นปัจจัย ที่สำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงถึง ถ้าเราต้องการจะเข้าใจอดีตและแม้แต่ปัจจุบันหรืออนาคตของมาเลเซีย ภูมิศาสตร์ได้ชักนำมาเลเซียให้เข้ามาสู่เวทีประวัติศาสตร์โลก และภูมิศาสตร์ที่ไม่มีประเทศอื่นขนาบแต่ เปิดโล่งให้แก่โลกภายนอก ดังนั้น มาเลเซียจึงได้สัมผัสกับอารยธรรมต่าง ๆ และคนชาติต่าง ๆ มาก ใน ประวัติศาสตร์สมัยแรก ๆ ของมาเลเซีย คนชาติต่าง ๆ เหล่านี้นำเอาวัฒนธรรมและอารยธรรม การค้าและ การพาณิชย์ ศาสนาต่าง ๆ และระบบการเมืองต่าง ๆ มาให้มาเลเซีย ต่อมาก็มีผู้คนจากอินเดียและจีนเขามา ตั้งถิ่นฐาน ในชั้นแรกยังมีจำนวนเพียงเล็กน้อย แต่ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อแหล่งแร่และแหล่ง กสิกรรมของมาเลเซียถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว จึงมีผู้เข้ามาตั้งหลักแหล่งกันเป็น จำนวนมาก ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมาเลเซียยังทำให้มาเลเซียได้รับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ นับแต่ช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 19 อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้มาเลเซียกลายเป็นประเทศที่มีมาตรฐาน การครองชีพสูงที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชียทุกวันนี้ การที่ที่ตั้งของมาเลเซียอยู่ใกล้เส้นทางการค้าระหว่าง ตะวันออกกับตะวันตก ย่อมหมายถึงว่ามาเลเซียได้เรียนรู้สิ่งประดิษฐ์ของยุโรปสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 อย่างรวดเร็ว ฉะนั้น จากสภาพภูมิศาสตร์จึงทำให้มาเลเซียมีพลเมืองหลายชาติหลายภาษา และกลายเป็น ประเทศที่เศรษฐกิจก้าวหน้ามากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย
หากย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ทางการเมืองและประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย เราก็จะได้เห็นว่า เส้นทางการค้าและการเดินทางสำรวจมีอิทธิพลต่อฐานะของมาเลเซียในโลกอย่างไร เรา จะเห็นว่ามลายูและบรูไน รุ่งเรืองนับแต่ในสมัยที่มีสุลต่านปกครองมะละกาเมื่อการค้าระหว่างตะวันออก กับตะวันตกผ่านเข้ามาทางช่องแคบมะละกา และมะละกาเองก็เป็นเมืองท่าสำหรับหมู่เกาะทั้งหมดด้วย ต่อมาเมื่อการค้าของเขตนี้ ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวฮอลันดา เส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่าง ตะวันออกและตะวันตกได้ผ่านไป ทางช่องแคบซุนดา ทำให้ปัตตาเวีย (จาการ์ตา) เจริญรุ่งเรืองขึ้น ส่วนมะ ละกาและบรูไนก็เสื่อมลง การเปลี่ยนแปลงยังเกิดขึ้นต่อไปอีกเมื่อมลายูเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในทาง การเมืองระหว่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออังกฤษรื้อฟื้นความสนใจของตนในมาเลเซียในตอนปลาย คริสต์ศตวรรษที่ 18 การก่อตั้งถิ่นฐานในปีนังและสิงคโปร์ได้ทำให้การค้ากลับคืนสู่ช่องแคบมะละกามาก ขึ้น และในที่สุดก็ทำให้เกิดการพัฒนาสินแร่ อันอุดมสมบูรณ์ของมาเลเซียสมัยใหม่ และในระยะเดียวกันนี้ ชาวอังกฤษได้เริ่มให้ความสนใจซาราวัก และซาบาห์อันนำไปสู่การมีอิทธิพลของอังกฤษขึ้นที่นั่น เพราะฉะนั้น ฐานะของมาเลเซียในประวัติศาสตร์ จึงขึ้น ๆ ลง ๆ ตามความสนใจของชาติมหาอำนาจและ การล่าอาณานิคมเมืองขึ้นจากโลกตะวันตก
นอกจากนี้ การแผ่ขยายของศาสนาอิสลามทำให้เกิดการก่อตั้งระบบสุลต่าน หรืออิทธิพล จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ ซึ่งทำให้เกิดการก่อตั้งสเตรตส์ เซ็ตเติลเมนท์ (Straits settlements)อันเป็นการกำหนดท่าทีอย่างชัดเจนของอังกฤษต่อภูมิภาคส่วนนี้ยังผลให้เกิดอิทธิพลการคุ้มครองของ อังกฤษเหนือรัฐมลายู จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จีนจึงเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อมาเลเซียแต่ยังนับว่า น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับอิทธิพลของอินเดีย และถึงแม้ว่ามาเลเซียจะตั้งอยู่ครึ่งทางระหว่างจีนกับ อินเดีย แต่ในระหว่างศตวรรษ ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั้น อินเดียก็ยังมีอิทธิพลอยู่ในคาบสมุทรและหมู่ เกาะของมาเลเซียมากกว่าจีนอยู่นั่นเอง
ความสัมพันธ์ของวัฒนธรรมระหว่างไทย และมาเลเซีย
ในการศึกษาด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์พบว่าพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยและพื้นที่ชายแดนตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ถือเป็นสนามวิจัยทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีความเหลื่อมล้ำทับซ้อนกันระหว่างความเป็นชาติและความเป็นชาติพันธุ์ การกำหนดพรมแดนแห่งรัฐระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียในปี 2452 ทำให้กลุ่มชนเชื้อสายมลายูจำนวนมากกลายเป็นพลเมืองของประเทศไทย ขณะเดียวกันกลุ่มชนเชื้อสายไทยส่วนหนึ่งได้กลายเป็นพลเมืองของประเทศไทย ขณะเดียวกันกลุ่มชนเชื้อสายไทยส่วนหนึ่งได้กลายเป็นพลเมือง ของประเทศมาเลเซีย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชนทั้งสองกลุ่ม มีความแตกต่างจาก ชนส่วนใหญ่ของประเทศตน และคล้ายคลึงกับชนส่วนใหญ่ของประเทศเพื่อนบ้าน ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ขณะที่กลุ่มชนชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอยู่ในสังคมร่วมกับชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างสงบสุข แต่ชาวไทยเชื้อสายมลายูต้องดำรงอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความรุนแรง การสำรวจวรรณกรรม ที่ทำการศึกษากลุ่มชนทั้งสองกลุ่มพบว่าแม้จะมีการศึกษาเกี่ยวกับชนทั้งสองกลุ่มในหลายประเด็นแต่การศึกษา ที่มุ่งเจาะลึกถึงแก่นของการแสดงออกที่มีต่อกันระหว่างกลุ่มชนผ่านการสื่อสารอันเป็นกลไกสำคัญในการสร้างหรือลดความขัดแย้งระหว่างกันยังคงมีช่องว่างขององค์ความรู้อยู่มาก
บันทึกประวัติศาสตร์และการหยิบใช้ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชาวไทยเชื้อสายมลายูมักมีลักษณะ เชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชน แต่สำหรับชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยกลับเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม เมื่อพิจารณาข้อมูลที่ค้นพบกับแนวคิดการขัดเกลาทางสังคมจะพบว่าในประเทศมาเลเซียทั้งระบบการศึกษา และครอบครัวของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยต่างช่วยกันขัดเกลาให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยที่เกิดในรัฐกลันตันเติบโตมาด้วยความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตนและประวัติศาสตร์แห่งชาติมาเลเซีย เนื่องจากมีสถาบันครอบครัวสถาบันการศึกษา และสถาบันอื่นๆ ทาหน้าที่เป็น “ตัวแทน” ในการขัดเกลา ทางสังคม แต่ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของชาวไทยเชื้อสายมลายูกลับเป็นประวัติศาสตร์ปกปิด สถาบันครอบครัวส่วนใหญ่ก็ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตนเอง ส่วนสถาบันการศึกษาก็สอน แต่เพียงประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ค่อนข้างจะไม่ลงรอยกับประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของชาวไทยเชื้อสายมลายู สิ่งนี้ทำให้สถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาไม่สามารถทาหน้าที่ในการเป็นตัวแทนในการขัดเกลาทางสังคมให้กับเยาวชนชาวไทยเชื้อสายมลายูได้ ขณะเดียวกันตัวแทนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนก็มักนำเสนอภาพของความขัดแย้งรุนแรงระหว่างชาติพันธุ์อยู่เสมอ
การศึกษายังพบว่าเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยมักถูกนำไปใช้ในเชิงบวก แต่เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายมลายูมักถูกนำไปใช้ในเชิงลบ ส่วนภาพลักษณ์ของชาวไทยเชื้อสายมลายูส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเชิงลบ แต่ภาพลักษณ์ของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยมักมีลักษณะเป็นเชิงบวก
เมื่อนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาชนทั้งสองกลุ่มมาเปรียบเทียบกันจะค้นพบความแตกต่างที่สำคัญคือมโนทัศน์ที่อธิบายพฤติกรรมการสื่อสารของชาวไทยเชื้อสายมลายูที่มีต่อชาวไทยเชื้อสายไทยได้แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศการสื่อสารในเชิงลบเป็นส่วนใหญ่ แต่มโนทัศน์ที่อธิบายพฤติกรรมการสื่อสารของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยที่ค้นพบกลับแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศการสื่อสารในเชิงบวกมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาพฤติกรรมการสื่อสารในลักษณะที่เป็นการปรับตัวเข้าหากันและแยกตัวออกจากกัน เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวมักเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความไม่ลงรอยกันในบางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือชาวไทยเชื้อสายมลายูมีพฤติกรรมการสื่อสารที่พยายามปรับตัวเข้าหากันในเชิงรักษาสายสัมพันธ์ภายใต้สถานการณ์ไม่สงบในพื้นที่ แต่ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยกลับแสดงการปรับตัวเข้าหากันในเชิงเพิ่มความสัมพันธ์อันดีให้มีมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยแสดงการแยกตัวออกจากชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายูเมื่อต้องมีการติดต่อสื่อสารในเรื่องศาสนา และวัฒนธรรมเท่านั้น
แต่ชาวไทยเชื้อมลายูนอกจากจะแสดงพฤติกรรมแยกตัวออกจากชาวไทยเชื้อสายไทยด้วยเหตุผลทางศาสนาและวัฒนธรรมแล้วยังมีเหตุผลเรื่องอำนาจของคู่สื่อสารและผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่อีกด้วย นอกจากนี้ยังพบว่ามีปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการสื่อสารของชนทั้งสองกลุ่ม แต่ในปัจจัยย่อยที่เป็นรายละเอียดของแต่ละปัจจัยหลักนั้นจะมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรโดยความแตกต่างดังกล่าวสามารถจำแนกได้เป็นสองประเด็นได้แก่ประเด็นหลักเกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่และประเด็นรองเกิดจากอำนาจที่มีมากกว่าของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งน้ำหนักอยู่ที่ประเด็นหลังมากกว่า ส่วนปัจจัยด้านอื่นๆ ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมของชนทั้งสองกลุ่มมีลักษณะค่อนข้างใกล้เคียงกัน
หากนำข้อมูลข้างต้นนี้มาพิจารณาผ่านแนวคิดกระจกสะท้อนตัวตนของ Charles Horton Cooley ซึ่งเป็นรากเหง้าของแนวคิดการขัดเกลาทางสังคมจะพบว่าสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและจิตวิทยาในประเทศไทยกำลังสะท้อนภาพในเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยเชื้อสายมลายูกับชาวไทยเชื้อสายไทยและรัฐบาลไทย ขณะเดียวกันสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและจิตวิทยาในประเทศมาเลเซียก็กำลังสะท้อนภาพในเชิงบวกระหว่างชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยกับชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายูและรัฐบาลมาเลเซีย
สภาพแวดล้อมดังกล่าวเปรียบได้กับกระจกสะท้อนตัวตนของชนทั้งสองกลุ่ม ซึ่งกระจกสะท้อนบานนี้อาจสะท้อนภาพในเชิงลบหรือบวก ตรงไปตรงมาหรือบิดเบี้ยวก็ได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือกระจกสะท้อนบานนี้สะท้อนภาพที่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ที่พบว่าบรรยากาศในการสื่อสารของชาวไทยเชื้อสายมลายูส่วนใหญ่มีลักษณะในเชิงลบ ขณะที่บรรยากาศการสื่อสารของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยส่วนใหญ่มีลักษณะที่เป็นเชิงบวก
การศึกษาสภาพแวดล้อมทางสังคมของชาวไทยเชื้อสายมลายูพบว่าความเป็นมลายูของชาวไทยเชื้อสายมลายูมักไม่ค่อยได้รับการยอมรับในสังคมไทย ขณะที่ความเป็นไทยของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยค่อนข้างได้รับการยอมรับจากสังคมมาเลเซีย
นอกจากนี้เอกลักษณ์บางอย่างของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยก็ยังลงรอยกับเอกลักษณ์ของความเป็นชาติมาเลเซีย เช่นการเป็นภูมิบุตร แต่ความลงรอยดังกล่าวแทบไม่พบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เมื่อพิจารณาข้อมูลที่ค้นพบกับแนวคิดของ Brown จะพบว่าความเป็นชาติของทั้งประเทศไทยและประเทศมาเลเซียมีลักษณะผสมผสานกันระหว่างชาติในเชิงการเมืองและชาติในเชิงวัฒนธรรม แต่หากพิจารณาให้ละเอียดจะพบว่าประเทศมาเลเซียมีลักษณะของความเป็นชาติในเชิงการเมืองมากกว่าประเทศไทย
เนื่องจากสังคมมาเลเซียยังคงยืนยันในความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างแบ่งปันและร่วมกันทำงานเพื่อชาติที่เป็นจุดรวมของชาวมาเลเซีย แต่สำหรับประเทศไทยแม้รัฐบาลจะพยายามให้สิทธิแก่พลเมืองในชาติเท่าเทียมกัน แต่ประเทศไทยก็มิได้เป็นพหุสังคมอย่างแท้จริง เอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่มีศูนย์รวมอยู่ที่ส่วนกลางของประเทศก็ยังคงต่อต้านเอกลักษณ์ทางสังคมของชาวไทยเชื้อสายมลายูอยู่ในหลายรูปแบบ ข้อมูลที่ได้ตอกย้ำแนวความคิดของ Brown ที่ว่าความเป็นชาติในเชิงการเมืองเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าความเป็นชาติในเชิงวัฒนธรรม
ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาพฤติกรรมการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายมลายูและชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยแสดงภาพรวมที่เหมือนกัน ได้แก่ การสื่อสารในลักษณะที่ไม่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน และการแสดงออกให้เห็นชัดเจนเป็นอย่างมาก ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาชี้ให้เห็นว่าชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยสามารถใช้เอกลักษณ์ร่วมกันกับชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายูได้ในหลายลักษณะ แต่ชาวไทยเชื้อสายมลายูแทบไม่มีการใช้เอกลักษณ์ใดๆ ในการสร้างความเป็นพวกพ้องเดียวกันกับชาวไทยเชื้อสายไทยเลย
ดังนั้นควรมีการค้นหาเอกลักษณ์ร่วมของคนในพื้นที่ (เช่นความเป็นคนพื้นที่ดั้งเดิมเหมือนกัน) และเน้นย้ำเอกลักษณ์ดังกล่าวให้เป็นเสมือนอุดมการณ์ที่สามารถทาให้ชนทุกกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่มีความรู้สึกร่วมกันว่าเป็นพวกพ้องเดียวกัน (โดยจะต้องเป็นอุดมการณ์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของชาติพันธุ์) อุดมการณ์ดังกล่าวจะผลักดันให้ชนทุกกลุ่มมีความต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ของตน ข้อค้นพบจากการศึกษาชี้ให้เห็นว่าขณะที่ความเป็นไทยของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยค่อนข้างได้รับการยอมรับในสังคมมาเลเซีย แต่ความเป็นมลายูของชาวไทยเชื้อสายมลายูยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้มีการยอมรับความเป็น “คนมลายู” ของชาวไทยเชื้อสายมลายูในพื้นที่ ทั้งที่เป็นการยอมรับในลักษณะที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ อาทิ การส่งเสริมให้มีการยอมรับการใช้ภาษามลายูถิ่นในพื้นที่มากขึ้น ส่งเสริมเรื่องความเข้าใจในวิถีชีวิตแบบอิสลาม การแสดงการยอมรับดังกล่าวจะเป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่บรรยากาศแห่งการการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน การศึกษาพบว่าในประเทศมาเลเซียมีการหยิบใช้ความแตกต่างทางด้านเอกลักษณ์ของกลุ่มชนในเชิงบวก ขณะที่ในประเทศไทยการหยิบใช้เอกลักษณ์ในลักษณะดังกล่าวแทบไม่มีให้เห็น ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้คนในพื้นที่และคนในส่วนอื่นของประเทศไทยมองความแตกต่างทางวัฒนธรรมและสังคมของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ในลักษณะที่เป็นจุดเด่นมากกว่าจุดด้อย โดยมุ่งไปที่การชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างสามารถนามาซึ่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันได้
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าบริบทรอบข้างในด้านความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนาของชาวไทยเชื้อสายมลายูและชาวไทยเชื้อสายไทยแม้จะทาให้ชนทั้งสองกลุ่มต้องแยกตัวออกจากกันบ้างแต่ก็มิได้ส่งผลกระทบเทียบเท่าการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ไม่สงบและการใช้อำนาจที่มีมากกว่าของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางที่ผิด ดังนั้นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นก็คือการยุติเหตุการณ์ไม่สงบ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่และการทำให้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน ส่วนผลกระทบที่เกิดจากอำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นก็ควรแก้ไข โดยการสร้างความยุติธรรมที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยการบังคับใช้กฎหมายทุกรูปแบบให้มีความยุติธรรมต่อชนทุกกลุ่มในพื้นที่ ความยุติธรรมดังกล่าวจะทำให้อำนาจที่อยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ถูกใช้ไปในทางที่ผิด ซึ่งนำไปสู่บรรยากาศแห่งการสื่อสารที่ดีระหว่างกันในที่สุด บทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานองค์การการประชุมโลกอิสลามและมุมมองที่มีต่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทย
ในฐานะที่เคยเป็นประธาน OIC มาเลเซียมีความอ่อนไหวในความจำเป็นที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาวมุสลิมทั่วโลก ในความหมายนี้ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่รัฐบาลมาเลเซียจะมีความสนใจต่อการดูแลชาวมุสลิมกลุ่มน้อย โดยรัฐบาลที่มิใช่มุสลิม อย่างไรก็ตามรัฐบาลมาเลเซียก็ไม่มีนโยบายต่อชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์เป็นพิเศษ มาเลเซียจะมีปฏิกิริยาต่อปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับชาวมาเลย์-มุสลิมเป็นเรื่องๆ ไป การขานรับของมาเลเซียจะถูกถือเป็นมาตรวัดในการพิจารณา ทั้งในความอ่อนไหวของไทย ตลอดจนข้อเรียกร้องทางการเมืองในมาเลเซีย ในฐานะประธานของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement) หรือNAM ชื่อเสียงระหว่างประเทศของมาเลเซียได้รับการยกระดับขึ้นมา แต่บางที สิ่งที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือนโยบายต่างประเทศของมาเลเซียที่ได้ย้ำถึงความส ำคัญที่มีต่อหลักการที่มีความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่องการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความสัมพันธ์ในภูมิภาค” ครั้งหนึ่งรัฐสภาของมาเลเซียได้มีมติประณามการใช้กำลังอย่างไม่เหมาะสมโดยกองกำลังรักษาความสงบของไทยในเหตุการณ์ตากใบ (Tak Bai incident) แต่ที่สำคัญแรงผลักดันในเรื่องนี้นั้นมาจากข้อพิจารณาในด้านมนุษยธรรมมากกว่าแรงผลักดันทางการเมือง สำหรับชาวมาเลเซียทุกเชื้อชาติส่วนใหญ่นั้นประเทศไทยถูกพิจารณาอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นประเทศที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด สะดวกสบายและเป็นประเทศที่เป็นมิตรที่จะเยี่ยมเยือนไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของธุรกิจหรือความเพลิดเพลิน
ด้วยเหตุผลนี้คนมาเลเซียจานวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เดินทางไปภาคใต้อยู่เสมอจึงต้องการเห็นการแก้ไขวิกฤติการณ์เสียแต่เนิ่นๆ คนทุกอาชีพในมาเลเซียมีความกังวลหากวิกฤติการณ์ขยายตัวออกไปก็จะมีอันตรายอย่างแท้จริง ความขัดแย้งก็จะลามมาถึงมาเลเซีย ซึ่งไม่อาจจินตนาการถึงสิ่งที่จะตามมาได้ อย่างน้อยที่สุดความเงียบและสงบของมาเลเซียก็จะถูกทาลายลงไป
การให้ที่ลี้ภัยทางการเมืองแก่ชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์จากภาคใต้ของไทยในปี 2548 โดยรัฐบาลมาเลเซีย ถูกมองว่าเป็นดั่งหลักฐานความพยายามของมาเลเซียที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของไทย ทรรศนะนี้รัฐบาลมาเลเซียไม่เห็นด้วย โดยมาเลเซียมองว่าเรื่องของผู้ลี้ภัยเป็นปัญหาด้านมนุษยธรรมแท้ๆ บางทีอาจจะเป็นเรื่องความอ่อนไหวทางการเมืองที่ว่าทาไมรัฐบาลมาเลเซียจึงไม่มีทางเลือกนอกไปจากการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อหลีกหนีพรรคฝ่ายตรงข้ามคือพรรคอิสลาม (Pan Islamic Party) ที่จะทาให้ประเด็นนี้เป็นการเมือง แต่ประเด็นเรื่องมนุษยธรรมจะมีมากกว่า นี่มิได้เป็นครั้งแรกที่มาเลเซียให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยมุสลิมที่หนีมาจากความรุนแรงทางการเมืองที่บ้าน แต่แน่นอนมันย่อมมิใช่การสมรู้ร่วมคิดที่มาเลเซียประโคมขึ้นมา เมื่อมองย้อนกลับไปมาเลเซียค่อนข้างจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและมีชีวิตชีวากับประเทศไทย ด้วยเหตุผลที่ได้อธิบายมาแล้ว รวมทั้งช่วงเวลาที่มีความตึงเครียด โดยรวมแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเต็มไปด้วยไมตรีจิตและมิตรภาพ เช่นกันมาเลเซียและประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ของความสำเร็จในความร่วมมือด้านความมั่นคงมากกว่าสี่สิบปี ซึ่งในที่สุดได้นาไปสู่การยุบพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา ความสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย (ปี 2549-2550) เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้ (2547-2550) เป็นช่วงที่รัฐบาลไทยและมาเลเซียฟื้นฟูความเข้าใจและความร่วมมือได้กว้างขวางกว่าเดิม รัฐบาลทั้งสองต่างมุ่งมั่นที่จะรักษาความสงบสุขจากภัยคุกคามของขบวนการแบ่งแยกดินแดน อาชญากรรมข้ามชาติ และกลุ่มผู้ก่อการร้ายสากล ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและวิถีของ ASEAN มาเลเซียได้เสนอที่จะให้การฝึกอบรมด้านอาชีวศึกษาให้แก่เยาวชนไทยเชื้อสายมาเลย์จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในทานองเดียวกัน รัฐบาลไทยได้แสดงความสนใจที่จะให้มาเลเซียช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พัฒนาการเช่นนี้ได้ช่วยเพิ่มความก้าวหน้าของความร่วมมือทั้งในกรอบความมั่นคงและในกรอบเศรษฐกิจของ JDA จิตวิญญาณแห่งความเป็นพันธมิตรและมิตรภาพเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างประเทศเพื่อนบ้านดังที่รัฐบาลไทยและมาเลเซียแสดงต่อกัน เป็นหนึ่งในลักษณะที่สำคัญที่สุดในความสัมพันธ์ไทย-มาเลเซียตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และอาจจะนานกว่านั้น
แม้ความมั่นคงจะเป็นประเด็นหลักในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย แต่ก็มีความร่วมมือในด้านอื่นๆ ด้วย เช่นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความร่วมมือในประเด็นต่างๆ เช่น สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และการศึกษา อย่างไรก็ดี ความร่วมมือประเภทหลังอาจดูสำคัญน้อยกว่าเรื่องความมั่นคง ข้อห่วงกังวลในลาดับแรกของรัฐบาลไทยและมาเลเซียตลอด 50 ปี ที่ผ่านมาและต่อไปอีกหลายสิบปีจะยังเป็นการรักษาความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งทางบกและทางทะเล ต่อไป ประเทศไทยกับมาเลเซียมีภารกิจร่วมกันในการนาเอาความสงบสุขกลับมาสู่ภาคใต้ตอนล่างของไทย ประเทศมาเลเซียมี Taskforce 2001 ที่นาเอาคนหนุ่มสาวจากประเทศไทยไปฝึกฝนที่เรียกกันว่า Vocational training ทั้งสองประเทศมีหน่วยงานที่พร้อมจะทางานร่วมกันในนามรัฐบาล โครงการดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่สมัยของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มาถึงรัฐบาลปัจจุบัน (รัฐบาลภายใต้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) รวมทั้งการนาเอานักการศาสนาไปมาเลเซียเพื่อเข้าฝึกอบรมการสอนอิสลามตามแนวทางที่ถูกต้อง จากการศึกษาและวิจัยอาจสรุปได้ว่าที่ผ่านมาแม้ว่าความขัดแย้งในสามจังหวัดภาคใต้ของไทยจะดารงอยู่อย่างยาวนาน แต่ก็มีช่วงเวลาของความสงบอยู่เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตามนับจากปี2547 ซึ่งมีการปล้นปืนที่ค่ายกองพันพัฒนาตาบลปิเล็ง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เป็นต้นไปก็ดูเหมือนว่าสามจังหวัดภาคใต้ของไทยจะไม่เคยมีความสงบอย่างต่อเนื่องอีกเลย โดยเฉพาะเมื่อความรุนแรงเกิดขึ้นอีกครั้งที่มัสญิดกรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เมษายน ปี 2547 ซึ่งทาให้มีผู้เสียชีวิต 32 คนและเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 3 นาย ตามมาด้วยเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงที่อำเภอตากใบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ปีเดียวกันที่ทาให้มีผู้เสียชีวิตในเบื้องต้น 6 คน และเสียชีวิตระหว่างการขนย้ำย โดยรถยนต์ทหารอีก 78 คน ทั้งเหตุการณ์ที่มัสญิดกรือเซะและที่อำเภอตากใบส่งผลกระทบทางจิตใจต่อชาวมุสลิม ทั้งภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะที่อำเภอตากใบนั้นชาวมุสลิมส่วนใหญ่เชื่อว่าผู้ประท้วงทาการประท้วงด้วยความบริสุทธิ์ใจ ความขัดแย้งอื่นๆ ที่ตามหลังสองเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงดารงอยู่อย่างต่อเนื่อง และที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-มาเลย์และต่อชาวมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโลกมุสลิมอย่างมาก ได้แก่ การอพยพของชาวมุสลิม 131 คนจากจังหวัดนราธิวาส ไปยังมาเลเซียด้วยข้ออ้างที่ว่าในบ้านเกิดของพวกเขาไม่มีความปลอดภัย หลังจากอิมามที่ได้รับความเคารพในหมู่บ้านของพวกเขา ถูกอ้างว่าถูกสังหารโดยคนในเครื่องแบบ ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนจานวนมากที่มองว่าประเทศไทยเคยเป็นดินแดนที่มีผู้ลี้ภัยมาอยู่อาศัย มิใช่ดินแดนที่ผู้คนลี้ภัยไปอยู่ที่อื่น
แม้ว่าเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นจะได้รับการประท้วงจากมาเลเซีย แต่ที่ชาวมาเลย์และประเทศอื่นๆ รวมตัวประท้วงมากที่สุดได้แก่เหตุการณ์ที่อำเภอตากใบ ซึ่งมีการประท้วงที่กงสุลไทยที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐกลันตัน และกงสุลไทยในกรุงปีนังอีกด้วย และนาไปสู่สงครามคาพูดจากทั้งสองฝ่ายอยู่เป็นเวลานานงานวิจัยชิ้นนี้จึงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การสารวจทัศนคติ การรับรู้ และความเข้าใจของเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียที่มีต่อความขัดแย้งในภาคใต้ตอนล่างของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการณ์ถล่มมัสญิดกรือเซะและการปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงที่อำเภอตากใบ
ผลจากการศึกษาวิจัยตลอดจนการสัมภาษณ์แกนนาของมาเลเซียทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล รวมถึงนักวิชาการและประชาชนทั่วไป พบว่าชาวมาเลเซียส่วนใหญ่ต้องการให้ภาคใต้มีความสงบร่มเย็นและเป็นเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดต่อไป การวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ที่มาเลเซียมีต่อสถานการณ์และชะตากรรมของชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ในสามจังหวัดภาคใต้ของไทย ก็เนื่องจากความเป็นที่อุมมะฮ์ (ประชาชาติมุสลิม) มากกว่าความเป็นศัตรู ชาวมุสลิมจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การการประชุมอิสลาม (OIC) ต่างก็มีความคิดเห็นไปในทานองเดียวกันว่าเหตุการณ์ในสามจังหวัดภาคใต้เป็นเรื่องของการแยกดินแดน ความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมมาเลย์มากกว่าจะเป็นเรื่องของศาสนา ประเทศมาเลเซียและทุกองค์กรมุสลิมต้องการให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีมากกว่าการใช้วิธีอื่นใด
สรุปเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ มาเลเซีย
ศตวรรษเริ่มแรก
· ประมาณ 40,000 ปีก่อนคริสตกาล ที่อยู่อาศัยในยุคแรกคือ ถ้ำนียะห์ในซาราวัก ซากเครื่องใช้ยุคหินที่โกตา ตัมปันในเประ อาจจะมีอายุมากกว่านั้น
· ประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ชาวมาเลย์ยุคแรกเริ่มเดินทางจากยูนนาน ประเทศจีน มาทางใต้
· ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เริ่มยุควัฒนธรรมทองแดงและเหล็กในมาเลเซีย
· ประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาล เริ่มค้าขายกับอินเดียและจีน
· 100 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.200 การเติบโตของอาณาจักรการค้าในคอคอดกระ
· ค.ศ.500-1000 พัฒนาอาณาจักรการค้าของชาวพุทธและฮินดู ที่หุบเขาบูจังในเกดะห์ เประตอนเหนือ และซันตูบงในซาราวัก
· ค.ศ.1303 ศิลาจารึกในตรังกานูแสดงหลักฐานศาสนาอิสลามในคาบสมุทรมลายู
กำเนิดของมะละกา
· ประมาณปี 1400 การก่อตั้งมะละกาโดยปาราเมิสวารา
· 1409 นายพลเรือ เซ็ง โฮ ชาวจีนเดินทางมายังมะละกา
· 1411 ปาราเมิสวาราเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม และเข้าเฝ้าจักรพรรดิราชวงศ์หมิงของจีน
· 1446 มะละกาขยายอาณาเขตใต้การปกครองของมูซัฟฟาร์ ซะห์
· ประมาณปี 1456-98 ตุน เประ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายใต้สุลต่านสี่องค์ และมะละกาเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
· 1511 มะละกาตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส
· 1512 สุลต่านที่หมดจากอำนาจของมะละกาตั้งเมืองหลวงใหม่ในรีเยา ซึ่งต่อมากลายเป็นสุลต่านแห่งยะโฮร์
· 1528 สุลต่าน มูซัฟฟาร์ ซะห์ ตั้งอาณาจักรเประ
· 1641 ชาวดัตช์ชิงมะละกาจากโปรตุเกส และเริ่มการปกครอง
· 1699 การลอบปลงพระชนม์สุลต่านมะห์มุดของยะโอร์
· 1699-1819 อาณาจักรของยะโฮร์ ส่วนใหญ่ที่รีเยาอยู่ภายใต้การปกครองสายเบินดาฮารา
· 1699-1784 ยุคสมัยของมีนังกาบู-บูกีส ต่อสู้เพื่อปกครองช่องแคบมะละกา
· 1726 แต่งตั้งสุลต่านองค์แรกของอาณาจักรตรังกานู
· 1784 การสวรรคตของราจา ฮาจีที่มะละกา ดัตช์สยบอำนาจบูกิส
· 1786 อังกฤษยึดครองปีนัง
· 1812 การสวรรคตของสุลต่านมะห์มุด ซะห์ ผู้ปกครองอาณาจักรยะโฮร์-รีเยา องค์สุดท้าย
อาณานิคมมลายา
· 1819 อังกฤษยึดครองสิงคโปร์
· 1824 สนธิสัญญาแองโกล-ดัตช์ แบ่งมาเลย์ให้เป็นอาณานิคมหลายส่วน ดัตช์ยกมะละกาให้อังกฤษและรักษาไว้
· 1826 สิงคโปร์ มะละกา ปีนัง และเมืองเวสเลย์ เป็นนิคมช่องแคบภายใต้การปกครองของอังกฤษ
· 1831-32 กบฏมะละกามาเลย์ต่อต้านอังกฤษในสงครามนานิง
· 1840 ความต้องการดีบุกเพิ่มขึ้น ทำให้เจ้าของเหมืองแร่ดีบุกชาวจีนทะลักเข้ามาสู่ชายฝั่งด้านตะวันตก
· 1841 เจมส์ บรูค ได้รับการสถาปนาเป็นราชาของซาราวัก
· 1846 อังกฤษยึดเกาะลาบวน
· 1858-68 สงครามกลางเมืองที่ปะหัง
· 1867-74 สงครามกลางเมืองที่สลังงอร์
· 1874 สนธิสัญญาปังโกร์เริ่มให้อังกฤษเข้าแทรกแซงและปกครองเประ สลังงอร์ และเนกรีเซมบีลัน
· 1875-76 สงครามเประต่อต้านอังกฤษ หลังจากการประกาศใช้ภาษี และการสังหารผู้ปกครองอังกฤษ
· 1881 ตั้งบริติช นอร์ท บอร์เนียว ชาร์เตอร์ด คอมปานี เป็นศูนย์กลางที่บอร์เนียวเหนือ ปัจจุบันคือ ซาบาห์
· 1891-95 เกิดการจราจลที่ปะหัง
· 1895-1905 มัต ซัลเละห์ก่อการกบฏ การประกาศใช้ภาษีแบบใหม่ทำให้เกิดความไม่พอใจโดยทั่วไป มัต ซัลเละห์รวบรวมผู้สนับสนุนในการต่อต้านบริษัทนอร์ท บอร์เนียว
· 1896 ตั้งสหพันธ์รัฐมาเลย์ (FMS)
· 1909 สนธิสัญญาบางกอก ยกสี่รัฐมาเลย์ให้อังกฤษปกครอง
· 1914 อังกฤษปกครองยะโฮร์
· 1914-18 สงครามโลกครั้งที่ 1
· 1920-41 อังกฤษยอมรับนโยบายการกระจายอำนาจในสหพันธรัฐมาเลย์; เริ่มมีสัญญานของลัทธิชาตินิยมมาเลย์ต่อต้านการปกครองของอังกฤษ
มลายา เมอร์เดก้า มาเลเซีย
· 1941-45 ญี่ปุ่นเข้าพิชิตและยึดครอง
· 1945 อังกฤษกลับมายึดครองมาเลเซียอีก
· 1946 การวางอผนให้มีสหภาพมลายู แต่ถูกคัดค้าน; การก่อตั้งองค์การแห่งชาติชาวมาเลย์ (UMNO);ซาราวักและบริติช นอร์ท บอร์เนียว ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
· 1948 ล้มเลิกสหภาพมลายู; ตั้งสหพันธรัฐมลายา
· 1948-60 คอมมิวนิสต์ก่อการจราจล-ภาวะฉุกเฉิน
· 1952 มีการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในกัวลาลัมเปอร์; UMNO และ พรรคสมาคมชาวจีนมลายู (MCA)ร่วมมือกัน
· 1953 การรวมกลุ่มพันธมิตร ประกอบด้วย UMNO MCA และ พรรคสมาคมชาวอินเดียมลายู (MIC)
· 1955 การเลือกตั้งครั้งแรกในคาบสมุทรมลายู กลุ่มพันธมิตรได้รับชัยชนะท่วมท้น
· 1956 ตุนกู อับดุล ระห์มัน นำคณะเมอร์เดาไปลอนดอนเพื่อเจรจาขอเป็นเอกราช
· 1957 มลายาได้รับอิสรภาพ เชิญธงอังกฤษลงเป้นครั้งสุดท้าย



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น